เครื่องกรองน้ำระบบ RO ขนาดกลางในเชิงพาณิชย์และครัวเรือนทั่วไปมักมีอัตราการผลิตน้ำบริสุทธิ์อยู่ราว 150 GPD-1200GPD ซึ่งเพียงพอสำหรับครอบครัวขนาด 3–5 คนหรือร้านอาหารเล็ก ๆ โดยทั่วไปจะใช้ ระบบกรอง 5 ขั้นตอน พร้อมเมมเบรนขนาด 0.0001 ไมครอน เพื่อกำจัดเชื้อโรค แบคทีเรีย และสารปนเปื้อนต่าง ๆ ระบบส่วนใหญ่ติดตั้งบนโครงสแตนเลสพร้อมถังเก็บน้ำ 6–12 ลิตร มีฟีเจอร์เสริมเช่น หน้าจอ OLED แสดงค่า TDS และบางรุ่นมีระบบทำน้ำร้อนในตัว นอกจากนี้ยังมีมาตรฐานรับรองคุณภาพน้ำเช่น WQA เพื่อยืนยันว่าน้ำหลังกรองปลอดภัยต่อการบริโภค
เครื่องกรองน้ำ RO ขนาดกลางทั่วไปในไทยมักมีอัตราการผลิตน้ำราว 150 GPD (ประมาณ 600 ลิตร/วัน) เหมาะสำหรับกิจการขนาดย่อมหรือครัวเรือนที่ต้องการน้ำสะอาดต่อเนื่อง
ในเว็บไซต์จำหน่ายเครื่องกรองน้ำบางรายจัดกลุ่ม “50 GPD, 75 GPD, 100 GPD, 150 GPD” ไว้เป็นเครื่องกรองน้ำระบบ RO ขนาดต่าง ๆ ซึ่งกลุ่ม 100–150 GPD ถือเป็นขนาดกลางที่ใช้งานได้หลากหลายทั้งบ้านและกิจการเล็ก
ประกอบด้วยไส้กรอง PP (Sediment), คาร์บอนก้อน (GAC), คาร์บอนบล็อก (CTO), เมมเบรน RO 0.0001 ไมครอน และ Post‑carbon ช่วยกรองอนุภาค สารเคมี โลหะหนัก และจุลินทรีย์ได้ละเอียดสูง
บางรุ่นมี หน้าจอ OLED แสดงค่า TDS (Total Dissolved Solids) และอายุไส้กรอง ทำให้รู้เวลาเปลี่ยนไส้กรองได้อย่างแม่นยำ
บางระบบสามารถ ทำน้ำร้อน ได้ในตัว เพื่อชงกาแฟหรือชงชาโดยไม่ต้องใช้งานอุปกรณ์เสริม
ปริมาณถังเก็บน้ำบริสุทธิ์อยู่ที่ 6–12 ลิตร รองรับการใช้งานช่วงเวลาที่น้ำกำลังกรองไม่ทัน
โครงสแตนเลสคุณภาพสูง แข็งแรงทนทาน ติดตั้งง่าย เพียงต่อท่อน้ำเข้าเครื่อง เหมาะสำหรับวางในห้องครัวหรือพื้นที่บริการ
เปลี่ยนไส้กรอง Pre‑filter (Sediment, Carbon) ทุก 6 เดือน เพื่อรักษาประสิทธิภาพการกรองและยืดอายุเมมเบรน
เปลี่ยนเมมเบรน RO ทุก 2–3 ปี ขึ้นอยู่กับคุณภาพน้ำต้นทางและปริมาณการใช้ เพื่อคงอัตราการผลิตและคุณภาพน้ำบริสุทธิ์
เครื่องกรองน้ำระบบ RO ระดับมืออาชีพมักได้รับการรับรองมาตรฐาน WQA (Water Quality Association) ซึ่งยืนยันว่าน้ำหลังกรองปลอดภัยตามเกณฑ์น้ำดื่มสากล
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม เช่น เปรียบเทียบราคา หรือรับคำแนะนำเฉพาะรุ่นที่เหมาะกับพื้นที่และคุณภาพน้ำประปา กรุณาแจ้งรายละเอียดเพิ่มเติมครับ!